ปี 2014 เป็นปีครบรอบ 100 ปีสงครามโลกครั้งที่ 1 ปะทุขึ้น ทำให้ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับสงครามและสันติภาพได้รับความสนใจจากประชาคมโลกอย่างมากอีกครั้ง นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากประเทศตะวันตกจำนวนหนึ่งเห็นว่า สถานการณ์ในเอเชียอาจตกอยู่ในสภาวะอันตึงเครียดจนกระทั่งเกิดการปะทะกันขึ้น พวกเขายังเห็นว่า ประเทศจีนในช่วงเวลานั้นมีส่วนคล้ายคลึงกับประเทศเยอรมนีในยุคก่อนเกิดสงครามโลกครั้งแรกอย่างมาก คือ เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ประชาชนมีอารมณ์ชาตินิยมที่เพิ่มสูงขึ้น และทักษะการป้องกันประเทศมีความเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก ระหว่างการประชุมด้านความมั่นคงประจำปี “แชงกรี-ลา” ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2014 มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางถึงประเด็นจีนจะขยายอิทธิพลในภูมิภาคหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นในปี 2014 กลับต่างจากที่นักวิชาการของประเทศตะวันตกได้คาดการณ์ไว้โดยสิ้นเชิง เมื่อปลายปีนั้น ประเด็นปัญหาที่วุ่นวายและยุ่งยากที่ทำให้นักวิชาการประเทศตะวันตกรู้สึกกังวลมากที่สุดมี 4 ประเด็น ได้แก่ 1. การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา สังคมสหรัฐฯ หวาดระแวงเรื่องนี้อย่างมาก เพราะไม่มั่นใจว่า หากเชื้อไวรัสอีโบลาแพร่ระบาดเข้าไปยังสหรัฐฯ รัฐบาลจะมีมาตรการรับมือหรือไม่ 2. กลุ่มไอซิส ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่มีองค์กรจัดตั้งค่อนข้างสมบูรณ์ มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีความโหดเหี้ยมมาก และยังได้ดึงดูดเยาวชนที่เคยได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตกไปเข้าร่วมด้วย นี่เป็นการท้าทายที่ล่อแหลมมากในขณะที่สหรัฐฯไม่สนใจและไม่สามารถที่จะส่งกองทัพจำนวนมากไปปราบปรามไอซิสที่ต่างประเทศ 3. วิกฤตยูเครน สหรัฐฯและสหภาพยุโรปมีข้อขัดแย้งที่รุนแรงกับรัสเซีย ในประเด็นปัญหานี้ สหรัฐฯมีความไม่พอใจทางการเมืองอย่างมาก จนมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งคาดการณ์ว่า อาจเกิดสงครามเย็นรอบใหม่ 4. เศรษฐกิจโลกฟื้นฟูอย่างเชื่องช้า อนาคตการฟื้นฟูของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่ชัดเจน
เมื่อปลายปี 2014 นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากสหรัฐฯและประเทศตะวันตกอื่นๆ ทบทวนความกังวลของพวกเขาที่มีก่อนหน้านั้นพบว่า 4 ประเด็นปัญหาที่วุ่นวายและยุ่งยากดังกล่าวมีความเร่งด่วนกว่ามาก ทั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า สถานการณ์โลกปัจจุบันยากที่จะคาดการณ์ได้ ช่วงเวลานั้น ประชาคมโลกมีความปรารถนาที่จะเห็นบทบาท และความร่วมมือจากจีนมากขึ้น แม้ความกังวลและหวาดระแวงต่อจีนของสหรัฐฯไม่ได้ลดน้อยลงก็ตาม
หากมองในแง่ระเบียบโลก ปี 2014 ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของระเบียบโลก สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้น และข้อคิดเห็นของชาวโลกต่อสิ่งเหล่านั้นล้วนแสดงให้เห็นว่า รูปแบบการบริหารกิจการระหว่างประเทศแบบดั้งเดิมกำลังจะสิ้นสุดลง นักวิชาการสหรัฐฯหลายๆ คนรู้สึกจนปัญญาในการอธิบายประเด็นปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ โดยเห็นว่า ปัญหาเหล่านั้นไม่มีทางออก เพราะประเด็นปัญหาหลายอย่างยากที่จะได้รับการแก้ไขภายใต้ระเบียบโลกดั้งเดิม ซึ่งมีเครื่องมือสำหรับแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ ความต้องการและพลังขับเคลื่อนให้มีการปฏิรูประเบียบโลกจึงได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ยุคหลังสงครามเย็นกำลังจะสิ้นสุดลง และยุคใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น
ช่วง100 ปีนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งแรกเป็นต้นมา โลกได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมามาก การประชุมปารีสที่จัดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งแรกไม่สามารถสร้างระเบียบโลกที่มีความเข้มแข็งพอ จึงไม่สามารถรักษาสันติภาพที่มีความเที่ยงธรรมและยั่งยืน “โครงสร้างยัลตา” ที่ก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น โดยเนื้อแท้แล้วเป็นโครงสร้างที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการแบ่งเขตอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจ การแข่งขันระหว่างสหภาพโซเวียตและสหรัฐฯที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้โลกตกอยู่ในสภาวะสงครามเย็นเป็นเวลานานกว่า 40 ปี ช่วงนั้น ถึงแม้ได้เกิดการแข่งขันและการเป็นปรปักษ์ที่รุนแรงมาก แต่ความสมดุลด้านพลังอำนาจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจทำให้โลกมีสันติภาพโดยรวม องค์กรบริหารโลกต่างๆ เช่นสหประชาชาติที่ก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้พัฒนาเติบโตขึ้น และได้แสดงบทบาทในกระบวนการเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ในยุคหลังสงครามเย็นต่อไป
ขณะนี้ โลกได้ย่างเข้าสู่ยุคใหม่ เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาหลายๆ ประเทศ รวมทั้งจีนด้วยได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนแบ่งในโครงสร้างอำนาจโลกของประเทศเหล่านี้กำลังเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ด้วยพลังขับเคลื่อนจากกระบวนการโลกาภิวัตน์ ชาวโลกได้เห็นการแพร่หลายของข้อมูลข่าวสาร การมีหลายขั้วอำนาจในโลก การอพยพของผู้คน การดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจข้ามชาติได้ครอบคลุมในขอบเขตที่กว้างและคึกคักกว่าช่วงที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ได้นำมาซึ่งการท้าทายที่มีความสลับซับซ้อนและหลากหลายมิติยิ่งขึ้น วิธีการในการทำความเข้าใจและจัดการกับการท้าทายเหล่านี้จึงต้องมีการปรับเปลี่ยน ถึงแม้ว่าเหตุการณ์และประเด็นปัญหาต่างๆเกิดขึ้นเพราะสาเหตุที่ต่างกัน บ้างเกิดขึ้นโดยบังเอิญ บ้างต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่สรุปได้ว่า สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดเหตุการณ์และประเด็นปัญหาเหล่านี้คือ กลไกดั้งเดิมในการจัดการและบริหารกิจการระหว่างประเทศนั้นไม่สอดคล้องกับความต้องการของสถานการณ์ใหม่ นอกจากนี้ ประเทศสำคัญบางประเทศได้จัดการกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ในทางที่ผิด ยิ่งทำให้ประเด็นปัญหาเหล่านี้ขยายวง และสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การขยายตัวของอิทธิพลกลุ่มก่อการร้าย และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา ล้วนเป็นเพราะประเด็นปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมตั้งแต่เริ่มแรก
ในแง่ระเบียบโลก เราต้องมาพิจารณาปัจจัยสหรัฐฯ หลังสิ้นสุดสงครามเย็น สหรัฐฯเป็นผู้ครอบงำกิจการระดับโลกต่างๆ ดังนั้น สหรัฐฯต้องรับผิดชอบในระดับสูงต่อการไม่เป็นระเบียบของโลกที่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก่อนอื่น ความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯกำลังลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสหรัฐฯทำสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างสองพรรคการเมืองในสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนในการกำหนดนโยบายของสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น กระบวนการในการพิจารณาสถานการณ์โลกของสหรัฐฯมีประสิทธิภาพน้อยลง สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้คือ สหรัฐฯเกิดความผิดพลาดในการตัดสินแนวโน้มแห่งการพัฒนาของโลกหลังสงครามเย็น โดยยังคงยึดติดกับแนวความคิดสงครามเย็น และพยายามครอบงำโลกด้วยวิธีการทางการทหาร รวมทั้งพยายามเผยแพร่แนวความคิดทางการเมือง และค่านิยมของตนในขอบเขตทั่วโลก เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง หากกล่าวว่า ปี2014 เป็นจุดเปลี่ยนของระเบียบโลก สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ แนวทางเดิมในการครอบงำโลกของสหรัฐฯประสบความล้มเหลวแล้ว
(yim/cai)