เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา มีการจัดประชุมฟอรั่มระดับสูงว่าด้วยความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(RCEP) ที่เมืองชิงเต่า มณฑลซานตงของจีน นับเป็นการประชุมฟอรั่มเศรษฐกิจการค้าขนาดใหญ่ครั้งแรกหลังการลงนาม RCEP โดยได้ประกาศ “ข้อริเริ่มเมืองชิงเต่าว่าด้วยการร่วมผลักดันหุ้นส่วนเศรษฐกิจการค้าระดับภูมิภาคของ RCEP” สนับสนุนการสร้างกลไกการค้าแบบพหุภาคีที่โปร่งใส เปิดกว้าง เอื้ออารีต่อกัน ไม่ดูถูกกัน และปฏิบัติตามกฏระเบียบ ปัจจุบัน จีน ไทย สิงคโปร์ต่างได้ลงนามให้สัตยาบัน RCEP แล้ว ส่วนประเทศสมาชิกอื่นๆ มีแผนที่จะดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนปลายปีนี้ เพื่อผลักดันให้ RCEP เกิดผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปี 2022

ที่ประชุมว่าด้วยการค้าและการพัฒนาของสหประชาชาติประกาศรายงานว่า ถึงปี 2025 RCEP จะนำมาซึ่งการเติบโตด้านการส่งออกมากกว่า 10% ให้กับ 15 ประเทศสมาชิก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจระหว่างประเทศปีเตอร์ซัน (The Peterson Institute for International Economics) ของสหรัฐฯ คาดว่าถึงปี 2030 รายได้ประชาชาติโดยรวมของประเทศสมาชิก RCEP จะเพิ่มขึ้น 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยอดการส่งออกจะเพิ่มขึ้น 519,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายลิม จ๊อก ฮอย เลขาธิการอาเซียนเห็นว่า RCEP ได้เริ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจที่ทันสมัย ครบด้าน คุณภาพสูง และเอื้อประโยชน์แก่กัน รายงานการประเมินผลของรัฐบาลญี่ปุ่นชี้ว่า ข้อตกลง RCEP จะนำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็น 2.7% แก่ญี่ปุ่น ด้านนายชาน ชุนซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ก็กล่าวว่า RCEP จะขยายพื้นที่เศรษฐกิจ ส่งเสริมการค้าและการลงทุน

Yim/Ldan/Zhou