คุณผู้ฟังครับ ในรายการครั้งนี้ เราจะมาแนะนำหลักปรัชญาของเล่าจื๊อ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนต่อไป
เล่าจื๊อเคยเอาน้ำมาเปรียบเทียบหลักปรัชญาที่เน้นการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมชาติ เล่าจื๊อกล่าวว่า คุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเสมือนดั่งเป็นน้ำ เขากล่าวว่า น้ำหล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ และสรรพสิ่งทุกอย่างในโลก แต่น้ำไม่เคยแย่งชิงอะไรกับใคร ในสายตาของเล่าจื๊อ คนเรานิยมแสวงหาตำแหน่งที่สูงกว่า ขณะที่น้ำมักจะไหลไปยังพื้นที่ต่ำ ภายใต้พลังขับเคลื่อนจากความอยาก มนุษย์เราชอบสิ่งที่เราคิดว่า มีความเหนือกว่า และดูถูกสิ่งที่เราเห็นว่า มีความด้อยกว่า แต่น้ำไหลไปยังที่ต่ำเสมอ น้ำได้หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลก น้ำได้สร้างคุณูปการให้แก่โลกโดยไม่คำนึงถึงส่วนได้ส่วนเสียของตน และจะอยู่ในที่ต่ำ ที่เรียบ ที่สงบอยู่เสมอ แนวทางของน้ำแตกต่างไปจากแนวทางของคนที่มีความอยากมากมาย
อย่างไรก็ตาม หลักปรัชญาของเล่าจื๊อไม่ใช่ปรัชญาเกี่ยวกับความอ่อนแอ ตรงกันข้าม เป็นปรัชญาที่เปี่ยมด้วยพลัง เล่าจื๊อเห็นว่า น้ำสะสมพลังที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางความอ่อนโยนและความสงบ พลังของน้ำสามารถขจัดอุปสรรคทุกอย่างในโลก เล่าจื๊อยังกล่าวด้วยว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่อ่อนโยนกว่าน้ำ แต่ก็ไม่มีอะไรที่มีพลังเหนือกว่าน้ำในการพิชิตความเข้มแข็ง น้ำเป็นแบบอย่างแห่งความอ่อนโยนชนะความเข้มแข็ง สาเหตุที่น้ำชนะอยู่เสมอ ก็เป็นเพราะว่า น้ำปราศจากความอยาก และไม่ต้องการแย่งชิงอะไรกับใคร
เล่าจื๊อกล่าวว่า เมื่อตระหนักถึงมีความแข็งแกร่ง คนเรายังคงต้องรู้จักและรักษาความอ่อนโยน นี่ไม่ได้หมายความว่า เล่าจื๊อนิยมความพ่ายแพ้ เล่าจื๊อเห็นว่า หากเราต้องการให้ตนมีความแข็งแกร่งขึ้น เราไม่ควรข่มเหงรังแกผู้ที่มีความอ่อนแอกว่า เราต้องเริ่มต้นพัฒนาตนเองจากจุดที่อ่อนแอที่สุดของเราเอง ค่อยๆ สะสมพลังในที่ต่ำอย่างที่น้ำทำ การเลิกคิดที่จะโอ้อวดความดีความเด่นของตนนั้น เป็นหนทางขั้นพื้นฐานที่จะนำไปสู่ความแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรือง
เล่าจื๊อเห็นว่า ความอ่อนโยนไม่เพียงแต่เป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความแข็งแกร่งและความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีการคุ้มครองชีวิตของเราด้วย เล่าจื๊อกล่าวว่า ความอ่อนโยนเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิต เขาอธิบายว่า เมื่อคนเรายังมีชีวิตอยู่ ร่างกายของเราจะมีความอ่อนโยน แต่เมื่อเราเสียชีวิตแล้ว ร่างกายก็จะแข็งตัว พืชก็เช่นกัน เมื่อพืชยังมีชีวิตอยู่ จะมีใบที่อ่อนนุ่ม และดอกที่น่ารัก แต่เมื่อพืชตายแล้ว พืชทั้งต้นก็จะเหี่ยวแห้งและแข็งตัวไปหมด เล่าจื๊อใช้สองตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า ความอ่อนโยนเป็นวิธีการที่ดีในการคุ้มครองชีวิต และเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการเกิดความขัดแย้งต่างๆ
เล่าจื๊อเห็นว่า คนในโลกนี้ต่างมุ่งมั่นแสวงหาชื่อเสียงและประโยชน์ แต่เขาเลือกใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบ และจะรักษาจิตใจให้มีความสงบสุขเมื่อเผชิญกับสิ่งล่อใจ เขากล่าวว่า เขาอยากรักษาภาวะที่เสมือนดั่งเป็นทารกแรกเกิด
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเล่าจื๊ออยากรักษาภาวะไร้เดียงสาของเด็ก เล่าจื๊อเห็นว่า ผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งล้วนคล้ายกับเป็นทารกแรกเกิด การได้รับการอบรมทั้งในด้านจิตใจและการปฏิบัติตัวต่อสังคมในระดับสูงสุดของคนเราคือ กลับสู่ภาวะทารกแรกเกิด ซึ่งปราศจากความรู้ ความอยาก แต่มีความบริสุทธิ์ และความจริง ดังนั้น ภาวะทารกแรกเกิดที่เล่าจื๊อกล่าวถึงหมายความว่า มีความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง เสียงร้องไห้คำแรกของทารกขณะออกจากมดลูกของแม่เป็นเสียงที่มีความบริสุทธิ์และชัดเจน เล่าจื๊อกล่าว่า นี่จึงเป็นเสียงแห่งชีวิตที่แท้จริง
หลังคนเรามาถึงโลกนี้ ร่างกายค่อยๆ เติบโตขึ้น และศึกษาหาความรู้ด้านต่างๆ รวมทั้งรับจารีตประเพณีทางสังคม จิตใจที่บริสุทธิ์เริ่มถูกปนเปื้อนด้วยสีต่างๆนานา ความจริงที่อยู่ในตัวของเราเองค่อยๆ จางหายไป ดังนั้น กระบวนการที่คนเราได้รับการบ่มเพาะจากวัฒนธรรม ก็เป็นกระบวนการที่ความจริงที่อยู่ในตัวของเราเองค่อยๆ จางหายไป
เล่าจื๊อเห็นว่า อารยธรรมเป็นสิ่งที่ทำให้ความจริงที่อยู่ในตัวของเราเองต้องลดน้อยลงในระดับหนึ่ง วิวัฒนาการด้านวัฒนธรรมของมนุษย์เป็นกระบวนการแห่งการตกแต่งมนุษย์ เช่น เสื้อผ้าเป็นสิ่งที่นำมาตกแต่งร่างกาย เรือนบ้านเป็นสิ่งที่นำมาตกแต่งรูปแบบของที่พักอาศัย ภาษาเป็นสิ่งที่นำมาตกแต่งรูปแบบการแลกเปลี่ยน การเมืองของรัฐเป็นสิ่งที่นำมาตกแต่งองค์กรจัดตั้งของมนุษย์ สิ่งที่นำมาตกแต่งสังคมมนุษย์เหล่านี้ มักจะทำให้คนเราเกิดความอยากความปรารถนาขึ้น และภายใต้การขับเคลื่อนของความอยากความปรารถนา มนุษย์มักจะหลอกลวงและต่อสู้กัน สุดท้ายก็นำไปสู่การทำสงคราม เล่าจื๊อเปรียบเทียบระหว่างกฎแห่งธรรมชาติ และกฎแห่งโลกมนุษย์ว่า ธรรมชาติจะนำส่วนที่เกินไปเติมส่วนที่ขาด เช่น ลมพัดเนินทรายให้เรียบ น้ำชะดินและหินออกไป แต่โลกมนุษย์กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามคือ นำส่วนขาดไปเติมส่วนเกิน เช่น คนรวยไปปล้นคนจน และผู้ที่มีความเข้มแข็งไปข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอ
ความอยากความปรารถนาที่พองโตขึ้นไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายแก่โลกภายนอก หากยังจะทำลายจิตใจของคนเราด้วย เล่าจื๊อกล่าวว่า สีสันที่มีความหลากหลายสวยงามทำให้ตาบอด ดนตรีที่มีความสลับซับซ้อนทำให้หูอื้อ การขี่ม้าล่าสัตว์ตลอดทั้งวัน ทำให้คนเกิดอาการบ้าคลั่ง ความอยากรบกวนความสงบของจิตใจ หากคนเราหมกมุ่นอยู่ในทะเลแห่งความอยาก เราก็จะจมอยู่ใต้น้ำในที่สุด
(yim/cai)